เหลือแต่ชื่อ
นัดกับผู้พันรุ่นน้อง ๑๑ โมงกว่า ๆ เมื่อวานนี้ ให้ช่วยพาไปดูหินประดับจำนวนมาก ที่ญาติธรรมคนหนึ่งแถว อ.ท่าเรือจะถวายให้ พี่ของเธอที่เป็นเจ้าของสะสมเอาไว้นานแล้วและหวงด้วย บัดนี้พี่ของเธอก็เพิ่งเสียชีวิตไป เธอจึงอยากถวายหินประดับสวย ๆ เหล่านั้นให้เรา เพื่อให้เกิดบุญไปถึงพี่ชายของเธอ แต่เธอจะรู้หรือไม่ว่าเจ้าของเขาหวง แล้วตามมาหลอกเราทวงของคืน หมาที่วัดยิ่งเยอะและปากเปราะอยู่ด้วย ทั้งคืนคงไม่ต้องนอนกันแน่ คิดไปแล้วเรื่องสมบัติของคนที่หามา สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้ ถ้าจะเหลือก็เหลือแต่ชื่อและสมบัติที่ยังคงอยู่ให้คนข้างหลังแย่งกัน หรือเป็นภาระให้ต้องดูแล
ตอนค่ำนำสวดมนต์ไปได้ครึ่ง ช.ม. หลังจากนั้นก็ไปงานศพพี่ชายภรรยาผู้ใหญ่บ้านของเราที่วัดบ่อปั้นใกล้ ๆ เรานี่เอง เราคิดเล่น ๆ ตามประสาเราว่า ผู้ตายดูแล้วคงจะเกลียดขี้หน้าปี ๖๗ เลยไม่ยอมที่จะพบปี ๖๗ เมื่อคนเราเวลาเกลียดขี้หน้าใคร ก็ไม่อยากจะเจอหน้าคนนั้นมิใช่หรือ? ฉันใดก็ฉันนั้น
ในศาลาตั้งศพ เรานั่งมองรายชื่อผู้บริจาคสร้างส่วนต่าง ๆ ของศาลาตั้งศพ มองเห็นหลายรายชื่อที่เคยรู้จัก บัดนี้เหลือแต่ชื่อให้เห็น ส่วนร่างกายได้ถูกเผาไปหมดสิ้นแล้ว มองไปเห็นชื่อผู้ที่เคยรู้จักแล้วก็เกิดสลดใจ…เกิดมาเพื่อตายกันเท่านี้เองหนอ
เมื่อเห็นรายชื่อผู้ที่ตายไปแล้ว เลยทำให้นึกถึงเมื่อสมัยตอนบวชใหม่ ๆ ได้ขออนุญาตพ่อแม่ครูอาจารย์มาทำธุระที่กรุงเทพฯ เราได้พักอยู่ที่วัดหลักสี่ใกล้ ๆ บ้านเดิม ค่ำ ๆ เราไปเดินจงกรมบริเวณกำแพงวัดที่เก็บกระดูกคนตายบรรจุไว้เป็นช่อง ๆ เห็นรายชื่อผู้ตายหลายคนมาก ๆที่เราเคยรู้จัก เพราะเป็นพ่อเป็นแม่ของเพื่อนร่วมเรียนชั้นประถมมาด้วยกัน ที่นั่นสงบไม่มีใครกล้าเข้าไปเดินในยามค่ำคืน ก็เสร็จเราเดินจงกรมเงียบดีไม่มีใครมากวน
คราวนั้นได้เห็นชื่อคนตายจำนวนมากมาย ก็เกิดสลดใจขึ้นมา สลดใจที่เห็นชีวิตของคนเรา สุดท้ายก็จะเหลือแต่ชื่อเท่านั้น กระดูกแม้เหลืออยู่ก็จะทำประโยชน์อะไรได้ นอกจากเป็นภาระให้กำแพงเฝ้าไว้เท่านั้นเอง
เมื่อวานนี้คิดแล้วเราได้กำไรไม่ขาดทุน ที่ว่ากำไรนั้น เพราะเราได้รู้ความจริงของชีวิตมากขึ้น รู้ว่าคนเราเกิดมาก็เพื่อตาย นี่แหละคือกำไรชีวิตของเราผู้เป็นนักบวช ส่วนใครจะคิดกำไรชีวิตในเรื่องใดนั้น ก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยและความพอใจของท่านเถิด เพราะที่ชอบ ๆ ของคนเราไม่เหมือนกัน
วัดพระธาตุโพธิ์ทอง
๒๙ ธ.ค.๖๖