ทำอย่างไรจะอยู่วัดได้ ๗ วัน?
เมื่อวานเป็นอีกวันหนึ่งที่หัวหมุนเป็นลูกข่าง ตั้งแต่เช้าจนถึง ๓ ทุ่ม
หลังจากฉันเช้าไม่กี่คำอย่างรีบเร่งแล้ว ก็พาทีมงานจิตอาสากว่า ๑๐ ชีวิต ไปช่วยกันขนหินประดับที่บ้านญาติธรรมที่ อ.ท่าเรือ ถวายให้
ครั้งแรกก็หนักใจว่าจะขนกันขึ้นรถ ๑๐ ล้อซึ่งสูงมากยังไง เพราะหินแต่ละก้อนก็หนักเอาเรื่อง สุดท้ายก็ช่วยกันคิดเอากระดานพาด๒แผ่น แล้วใช้รถเข็นก้านยาวที่เราสั่งให้นำไปลากขึ้นรถ ทีนี้แหละฉลุยเลย หลายหัวดีกว่าหัวเดียวมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
เที่ยงตรงกลับมาถึงวัด แต่ด้วยเราเกรงใจคนขับรถ ๑๐ ล้อ ที่มาคอยเราตั้งแต่ ๗ โมงเช้าแล้ว เราเลยให้ดั๊มหินลงเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรานานเกินไป และอีกอย่างก็คิดว่าคงจะมีแตกบ้างไม่มากนัก ที่ไหนได้ แตกบิ่นเกือบหมด…หน้าแตกเลยเรา
ทีแรกตั้งใจว่าแค่รถ ๑๐ ล้อเที่ยวเดียวก็น่าจะพอก่อน เมื่อหินสวยมาแตกเสียโฉมอย่างนี้แล้ว ก็เลยสั่งหารถ ๑๐ ล้อคันใหม่มาด่วน เพราะคันเก่าติดธุระ แถมจะไม่เอาเงินค่าจ้างเสียอีก แต่เราไม่ยอม เลยให้ทีมงานยัดเงินค่าน้ำมันไปให้ ๑,๐๐๐ บาท
ได้รถ ๑๐ ล้อคันใหม่มา ก็ออกเดินทางไป อ.ท่าเรือใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งขอเลื่อนนัดแขก๓ คณะที่นัดไว้ไปก่อน เมื่อวานจึงได้ข้อคิดว่า “เกรงใจคนนั่นแหละดีแล้ว แต่อย่าเกรงใจมากเกินไปจนเราเสียหาย”
เที่ยว ๒ ขณะที่ขนหินขึ้นรถเสร็จ กำลังเตรียมตัวจะรีบกลับวัด ญาติธรรมน้องสาวเจ้าของหิน ได้ขอให้เราช่วยตอบคำถามประหลาดของญาติเธอหน่อย ว่าแล้วเธอก็โทรตามญาติของเธอให้รีบมาพบเราด่วน ไอ้เราก็รีบจะกลับวัดเพราะนัดแขกรออยู่ แต่ก็ด้วยความเกรงใจและคิดว่ายังไม่เสียหายอะไรมากนัก เลยคอยพบญาติของเธอที่กำลังรีบมาด่วน
พอญาติของเธอมาพบแล้วและถามเราว่า “ทำอย่างไรเธอจึงจะอยู่วัดได้ถึง ๗ วัน” เธอว่าเธอมีกิจการที่ต้องทำต้องบริหารมาก ใจอยากไปค้างวัดสัก ๗ วัน แต่ก็ทำไม่ได้
เราก็ตอบด้วยการถามกลับว่า “เวลาตายมีมั้ย? เวลาป่วยมีมั้ย?” เธอก็พูดว่าเพิ่งป่วยเป็นโควิดนอนโรงพยาบาลมาหลายวัน เราจึงพูดว่า “นี่ไง แล้วเอาเวลาที่ไหนไปป่วยนอนโรงพยาบาลได้ตั้งมากกว่า ๗ วันล่ะ” เธอก็จนปัญญาที่จะตอบคำถามของเรา ต่อจากนั้นก็เสร็จเรา
เราได้พูดให้ข้อคิดเธอไปว่า “อะไรที่รีบตัดได้ต้องรีบตัด เวลาที่จะอยู่ในโลกนี้มันเหลือน้อยเต็มทีแล้วนะ จะมามัวชักช้าในการทิ้งสิ่งที่ควรทิ้งไม่ได้ จะมามัวหลงตนเองว่าเก่งขาดฉันไม่ได้นั้นไม่ได้ ไม่มีเราอยู่แล้วสิ่งที่ทำอยู่จะพินาศวอดวายรึ?…ไม่หรอก มันต้องมีคนสานต่อ อย่ามัวหลงตัวเองมากนักเลย เดี๋ยวจะไม่มีเวลาสร้างบารมี หรือสร้างคุณงามความดีเป็นเสบียงติดตัวไปสู่ภพหน้า”
“การที่จะตัดอะไรหรือตัดใจที่จะทิ้งบ้านทิ้งเรือนทิ้งกิจการงานที่ทำ ก็คือการฝึกที่จะทิ้งร่างนี้คืนสู่โลก เพราะสักวันหนึ่งเราทั้งหลายก็ต้องตายแน่นอน ถ้าไม่รีบฝึกทิ้งเอาไว้จนชำนาญเสียก่อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องทิ้งจะไม่ยอมทิ้ง แล้วเมื่อนั้นจะทุกข์มาก ทีนี้แหละไปไม่ดีแน่”
เรารีบพูดแข่งกับเธอที่ช่างพูด แล้วตัดบทรีบเดินทางกลับ คนเก่งคนฉลาดนี่ชอบพูดเยอะจริง ๆ
กลับมาถึงวัด ๔ โมงครึ่ง หินก็ลงหมดแล้ว เราสั่งให้ลงแบบขึ้น คือใช้รถเข็นลากขึ้นและลากลง ทีนี้หินสวยเหมือนเดิมไม่แตกเลยแม้แต่น้อย…ว่าหิน ๆ ใครว่าหินจะไม่แตก…ขอเถียง
หลังจากกลับมาถึงวัด มองเห็นแขก ๓ คณะคอยอยู่แล้วทั้งพระทั้งโยม รีบคุยธุระและสนทนา ทีละกลุ่ม จนหมดเวลาเกือบ ๖ โมงเย็น รีบถอดจีวรออกแล้วไปฉีดน้ำล้างศาลาหอฉัน ที่พระและคนงานก่อสร้างได้ทำฝุ่นเปื้อนเอาไว้ และทั้งพระและคนงานก่อสร้างได้กลับไปหมดแล้ว เราฉีดน้ำรดดินข้าง ๆ ศาลาฉันกันฝุ่นไปด้วยความบ้างาน เหลือเวลาอีก ๑๕ นาทีจะได้เวลาสวดมนต์ จึงรีบไปสรงน้ำ…เฮ้อ…ชีวิตนี้ยุ่งชิบเป๋ง
พาสวดมนต์เสร็จและเทศน์ต่อจนหมดเวลา ๒ ทุ่มครึ่ง พอเวลาสามทุ่ม เจ้าคณะอำเภอกลับจากราชบุรีด้วยกิจคณะสงฆ์ มาแวะรับตะเกียงไฟพระฤกษ์ที่สั่งซื้อ สนทนากันอยู่พักใหญ่แล้วสั่งให้ท่านลากลับวัดของท่านได้ เจ้าคณะตำบลสั่งเจ้าคณะอำเภอซะแล้ว เพราะถ้าขืนไม่สั่งให้กลับ สงสัยเมื่อคืนนี้ไม่ต้องนอนกัน ก็บอกแล้วว่าคนเก่งคนฉลาดนี่ พูดเก่งชะมัด
สุดท้ายก็หมดวันไปกับความชุลมุนวุ่นวายกับงานและสังคมในโลก แต่ใจมันนิ่งมากนะ มึงอยากยุ่งก็ยุ่งไป แต่ตรูไม่ยุ่งด้วย ก็เท่านั้นเอง…เท่านั้นจริงๆ
วัดพระธาตุโพธิ์ทอง
๓๐ ธ.ค.๖๖