จิตสำนึก

เมื่อวานนี้ครูโรงเรียนหนึ่งมาหา   เพื่อขอให้เซ็นชื่อรับรอง   การทำคุณประโยชน์ของนักเรียน   ที่เคยพามาช่วยงานผ้าป่าทิพย์ทุกปี   เพราะต้องการนำไปใช้ประกอบการประเมิน  ด้านศีลธรรมของนักเรียน

หลังจากเซ็นลงชื่อให้แล้ว   ก็สนทนากันสักพัก   แต่ก็เป็นสักพักที่มีค่ามาก

คุณครูได้ปรารภถึงนักเรียนเกเรที่เคยส่งมาอบรมที่วัดเราเมื่อหลายปีที่ผ่านมา   บัดนี้ทุกคนจบและมีอาชีพที่ดี   เป็นข้าราชการและนักธุรกิจมีครอบครัว   คุณครูบอกว่าเด็กทุกคนที่ส่งมาอบรม   กลับไปเป็นคนดีและพูดถึงวัดเรามาก   เราก็ได้แต่ยินดีกับอนาคตของเด็ก ๆ เหล่านั้น

คุณครูบอกอยากส่งเด็กมาอีก   และถามเราว่าจะให้บวชเณรมาหรือไม่?   เราก็บอกว่าไม่ต้อง   แค่อยู่เป็นเด็กวัดก็พอ   มีกิจกรรมที่ช่วยขัดเกลาเขาอยู่หลายอย่าง   เช่นกวาดใบไม้   ไปบิณฑบาตด้วย   สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา   เขาจะได้เห็นคนบุญมีใบหน้าเปี่ยมสุขมาทำบุญกันที่วัด   เขาจะได้เห็นภาพที่เป็นบวก  แต่ขอให้ส่งมาไม่เกินครั้งละ ๒ คน   เพราะถ้าส่งมาเกินกว่านั้น   จะตั้งเป็นแก๊งไม่ฟังเรา   อยู่คนเดียวยิ่งดีจะเจียมเนื้อเจียมตัวและเชื่อฟัง   เพราะทางวัดก็ให้ความเมตตาอยู่แล้ว   เขาจะได้รับการสอนและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์   ได้ทั้งบุญได้ทั้งจิตใจที่ดีงามขึ้น   และเขาจะรู้จักตัวเขาเองว่าเขาก็เป็นคนดีได้

ช่วงหนึ่งแห่งการสนทนา   คุณครูได้บ่นให้ฟังว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยตั้งใจเรียน   ที่จะตั้งใจฟังและเก็บที่เธอสอนได้หมดมีแค่สัก ๒-๓ คนเท่านั้น   ที่เหลือก็ไม่ค่อยสนใจ   บางทีก็ยังแอบนำโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอีกต่างหาก   แต่คุณครูเธอบอกว่า ๒-๓ แค่นี้ที่ตั้งใจเรียน   เธอบอกว่าเธอก็พอใจแล้ว

แต่เรากลับบอกคุณครูท่านนั้นว่าไม่พอ    คนดีแค่ ๒-๓ คนมันน้อยเกินไป   ไหน ๆ ก็เป็นเรือจ้างที่ดีแล้ว   ควรหาอุบายและเสียสละให้มากขึ้นกว่าเดิม   เพื่อส่งลูกศิษย์ให้ขึ้นฝั่งไปเป็นคนดีมีความสามารถปกครองบ้านเมืองต่อไป   ไม่เช่นนั้นโจรจะเต็มเมือง   และไอ้ ๒-๓ คนที่เป็นคนตั้งใจเรียนเป็นคนดีนั้น   มันไม่ได้บริหารประเทศหรอก   มันจะมีแต่ตัวแสบ ๆ เท่านั้นที่ไปบริหารประเทศ

เราได้ให้ข้อคิดปิดท้ายกับคุณครูไปว่า  “เดี๋ยวนี้ต้องเน้นเป็นพิเศษเรื่องจิตสำนึก”   เพราะเดี๋ยวนี้คนขาดจิตสำนึกกันมาก   มีแต่ความเห็นแก่ตัวมาก   ไม่สนโลก   สนแต่เรื่องความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น   ไม่สนใจกฎระเบียบใด ๆ   แหกคอกได้เป็นแหกคอก   นั่นแหละเป็นปฏิปทาของคนรุ่นใหม่

เราได้บ่นให้คุณครูฟังว่า เช่นเรื่องการขับรถบนท้องถนนร่วมกัน   รถช้าแช่ขวาแบบไม่สนโลก   นั่นแหละมันขาดจิตสำนึกล่ะ   เวลาจะเลี้ยวก็ไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว   เวลาเราไปบิณฑบาตในตลาด   บางช่วงต้องข้ามฝั่งถนนเมนใหญ่นอกตลาด   เรายืนรอกะให้รถที่วิ่งเร็วกำลังจะมาถึงผ่านไปก่อน   ด้วยจิตสำนึกและมารยาทไม่เดินตัดหน้ารถที่ขับมาเร็ว   พอพวกมาถึงซอยข้าง ๆ ที่เรายืนคอยข้ามถนนอยู่   พวกก็เลี้ยวเข้าซอยก่อนถึงเราเฉยเลย   โดยไม่เปิดไฟเลี้ยวให้เรารู้ก่อน   เพื่อเราจะได้ไม่เสียเวลาคอย…แม่ง!   พ่อแม่ไม่สั่งสอน (ไม่อยากพูดว่าครูไม่สั่งสอน   เดี๋ยวคุณครูจะเสียใจ   ด่าแม่มันดีกว่า   ออกลูกมาแล้วไม่สอนลูกให้ดี…ก็แค่คิดในใจเท่านนั้นนะ   อย่าหาว่าปากจัดเลย)

เมื่อคุณครูลากลับไปแล้ว  เราก็มาคิดทบทวนเรื่องจิตสำนึก   คิดแล้วมันก็ยากจริง ๆ ในสมัยนี้   ที่จะปลูกจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในคนยุคนี้   เพราะข้อมูลและความรู้ในยุคปัจจุบัน   มันพุ่งทะลุศีลธรรมไปหมดแล้ว   หิริและโอตตัปปะยังจะมีเหลืออยู่ในใครบ้างหนอ?  ส่วนจิตสำนึกนั้นยิ่งหายากกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก   ว่าแล้วผู้มีจิตสำนึกในข้อวัตรที่ครูบาอาจารย์สอนมา   ไปกวาดใบไม้ดีกว่า…

 

วัดพระธาตุโพธิ์ทอง

๖ ม.ค.๖๗

By admin