อย่าให้ค่าคนพาล
เป็นเรื่องแปลกเมื่อวานนี้ ที่มีคณะผู้ทำบุญอุทิศให้กับญาติที่ตายไปแล้วถึง ๓ คณะในวันเดียวกัน เริ่มที่ครัวป้านาญบ้านจรเข้สามพัน บิณฑบาตตอนเช้าได้นำพระ ๕ รูปไปทำพิธีรับสังฆทานอุทิศ ตามที่นิมนต์เอาไว้
พอกลับมาวัดก็มีอีก ๒ คณะที่นัดไว้ ว่าจะมาทำบุญอุทิศให้กับบิดามารดาบ้าง ให้กับสามีบ้าง พอคิดพิจารณาไปก็มีแต่เรื่องตาย ๆๆๆ เราน่ะสลดใจในการเกิดมาเพื่อตาย แต่เจ้าภาพทั้ง ๓ คณะนั้น จะสลดใจเหมือนเราหรือเปล่าหนอ?
หลังจากฉันจังหันเสร็จ ก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เพิ่งมาทำบุญตอนเช้าได้ไม่กี่ครั้ง มาขอพบถามปัญหาและขอคำแนะนำคำสอน ผู้ที่เป็นสามีถามเราขณะที่ชี้ไปทางภรรยาว่า “ภรรยาทุกข์ใจที่ข้างบ้านรวมหัวกันด่าว่าร้ายอยู่เป็นประจำ จะให้ผมทำยังไงดีครับ?”
ฝ่ายภรรยาก็โต้มาว่า “สามีต่างหากเป็นคนทุกข์” เราก็เลยถามกลับไปว่า “ตกลงแล้วใครเป็นทุกข์กันแน่?” ทั้งสองเงียบไม่ตอบ
เราก็เลยสอนไปว่า “ความอดทนและทนให้ได้เป็นบารมี ทองแท้อยู่ที่ไหนก็เป็นทองแท้ ความจริงก็คือความจริง ใครแม้พวกจะมากขนาดไหนก็ตาม ถ้าเป็นคนพาลพูดไม่จริง ก็อย่าไปให้ค่าให้ราคา อย่าไปทะเลาะกับเขา ในไม่ช้าเขาก็จะเบื่อและเลิกราไปเอง อย่าไปกังวลเรื่องชื่อเสียงที่เสียเพราะพวกเขารวมหัวกันนินทาใส่ร้าย ชื่อเสียงมันก็แค่สมมุติขึ้นมาเท่านั้นเอง จงตั้งหน้าสร้างแต่บุญคุณงามความดีให้มาก ก็จะเหมือนเรากำลังก่อไฟกองใหญ่ให้แสงสว่างมาก ให้ความร้อนของไฟเผาคนพาลที่มาเบียดเบียนเราเอง ส่วนคนดีนั้นจะได้รับแสงสว่างจากกองไฟใหญ่เราโดยไม่ถูกไฟเผา เพราะคนดีทั้งหลายรอบตัวเรา จะไม่มืดมัวโดดเข้ากองไฟที่เราได้ก่อไว้ บาปจะไม่เกิดแก่เรา แต่มันเป็นเพราะความเขลาของคนพาลเอง”
ก็คุยและยกตัวอย่างทั้งในสมัยพุทธกาลและปัจจุบันเรื่องการนินทาด่าว่าร้ายให้ทั้งสองผัวเมียฟังต่อไปว่า “แม้พระพุทธเจ้าเองโดนตามด่าอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ทั้ง ๗ วัน แต่พระองค์ก็ทรงมีขันติคือความอดทน พระองค์ทรงนิ่งเฉยไม่โต้ตอบอะไร สุดท้ายพวกที่ถูกจ้างมาให้ด่าพระองค์ก็เลิกราไปเอง เพราะเหมือนด่าก้อนหินที่ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย สรุปว่าคนจ้างก็เสียค่าจ้างฟรี แถมได้บาปมหันต์ติดตัวไป นั่นแหละคนพาลหาแต่บาปหาบแต่กรรมอยู่ร่ำไปมันเป็นอย่างนั้น เกิดมาเป็นคนทั้งทีก็หาแต่เรื่องโง่ ๆ มาทำให้ตนเดือดร้อนเสียยังงั้น จงกลับไปพิจารณากันเถิด อย่าไปทุกข์กับสิ่งที่ไร้สาระเลยนะ จงตั้งหน้าตั้งตาสร้างแต่บุญและสร้างบารมีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะความตายกำลังใกล้ตัวเราทุกคนเข้ามาทุกขณะแล้ว”
เราพูดสอนพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ให้ทั้งสองลากลับไปได้ เพราะงานของเราก็กำลังรออยู่เพียบเลย มองเห็นรถ ๑๐ ล้อบรรทุกดินริมคลองที่รถแม็คโครที่ชลประทานตักกองไว้เกะกะจนถนนแคบลงมาก เราได้ขออนุญาตชลประทานใช้ทุนของตัวเอง ขนย้ายกองดินเหล่านั้นเพื่อขยายถนน ให้ชาวบ้านได้ใช้ถนนที่สะอาดกว้างขวางปลอดภัย อันเป็นสง่าราศรีของหมู่บ้านด้วย จะว่าเสือกก็ยอมล่ะ
งานและสิ่งดีๆเช่นการเสียสละเพื่อสร้างบารมียังมีอีกมากในโลก ทำไมหนอคนเราจึงไม่ค่อยคิดและทำกัน กลับไปสุมหัวนินทาว่าร้ายใส่ร้ายคนอื่นที่ตนไม่ชอบ แล้วมันได้อะไร? ได้ก็แค่มันปากกัน แต่ใจนั้นกำลังสะสมบาปไว้เต็มกระบุง หารู้ตัวกันไม่
ราวบ่ายสามโมงเพิ่งล้มตัวลงนอน หลังจากนั่งหลาวก้านมะพร้าวและดัดแต่ละก้านให้ตรง เพื่อใช้ถักไม้กวาดต่อไป มีพระมาเรียกรายงานว่ามีโยมมาขอพบ เท่านั้นที่นอนก็ผิดหวังอีกตามเคย ถ้ามันมีชีวิต มันก็คงจะงงและงอนเป็นแน่แท้…ไหนว่าจะนอน!?
เป็นสองสามีภรรยาจาก อ.ท่ามะกา พากันมาหาสนทนาด้วย เราก็เลยต้องพูดธรรมะให้ฟังเสียอีก ๑ ช.ม. เป็นการแก้แค้นที่ทำให้เราไม่ได้นอนพักผ่อน หรือเราแก้แค้นผิดวิธีหนอ? สุดท้ายก่อนทั้งสองลากลับ เราได้ถามผู้เป็นสามีว่า “เคยเล่นไพ่รัมมี่หรือเปล่า?” ผู้ที่เป็นสามีตอบว่าเคยครับ เราก็พูดต่อไปว่า ชีวิตอย่าให้จั่วลม คือจั่วไพ่มาแล้วก็ทิ้ง เพราะไม่ได้เข้าอะไรกับไพ่ในมือตนเลย หมายถึงเกิดมาเป็นคนควรทำแต่ความดี ไม่ใช่ทั้งชีวิตไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ชีวิตไร้ค่าไปวัน ๆ มันก็เหมือนเล่นไพ่รัมมี่จั่วลมนั่นเอง สุดท้ายเงินหน้าตักที่สะสมหามาก็หมดไป
ตอนเย็นเราฉีดน้ำรดดินกันฝุ่นอยู่รอบ ๆ ศาลาหอฉัน นาคเตรียมบวชลูกชายของรุ่นพี่ที่เพิ่งมาส่งตอนเช้า กำลังกวาดใบไม้อยู่ใกล้ ๆ เรา ได้เดินมาหาเราแล้วพูดว่า “ผมเพิ่งเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่นี่ครับ เพราะปกติผมจะอยู่ในห้องแล็ปตลอดวัน จึงไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์เลย” เราฟังแล้วก็ได้แปลกใจ ในใจก็เพิ่งคิดว่าเออหนอมีด้วยหรือนี่คนไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์ เราก็เลยพูดว่า “งั้นดูธรรมชาติให้เต็มตาและถ่ายรูปเก็บไว้ซะ จะได้รู้ว่าธรรมชาตินี้สวยงามเพียงใด”
ค่ำแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับกุฏิไปสรงน้ำเพื่อเตรียมตัวสวดมนต์ ใจก็คิดพิจารณาทบทวนชีวิตทั้งวันที่ผ่านมา เรื่องของคนในโลกแต่ละคนนั้น มันมีเรื่องราวหลากหลายเหลือเกิน คนนี่มันก็คนจริงๆ คนกะทิจนแตกมันก็ดีอยู่หรอก แต่คนจนตัวเองหัวหมุนโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรนั้น มันเสียเวลาแห่งชีวิตไปจริง ๆ
วัดพระธาตุโพธิ์ทอง
๘ ม.ค.๖๗