กิจวันเดียวครบเกิดแก่เจ็บตาย
เมื่อวานนี้เป็นแรกของปีใหม่ที่เริ่มวิ่งผลัดเหมือนเดิม จะว่าวิ่งผลัดก็ไม่ใช่ จะว่าวิ่งมาราธอนก็ไม่เชิง แต่สรุปว่าวิ่งทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ
เช้าพาพระบิณฑบาตหมดวัดก่อนเป็นอันดับแรก กลับมาถึงวัดก็พาพระ ๙ รูปไปกิจนิมนต์ขึ้นบ้านใหม่ที่ ต.จรเข้สามพัน เรานี่เอง ทิ้งพระรูปเดียวให้ฉันที่วัดตามลำพัง ส่วนอีก ๑ รูปไปหาหมอที่ รพ.ศิริราช
กลับจากทำบุญขึ้นบ้านใหม่เหมือนเจ้าของบ้านเกิดใหม่เพราะได้บ้านใหม่ รีบสวดรีบเจิมบ้านรีบฉัน เรียกว่ารีบไปหมด ฉันอาหารไม่ถึง ๑๐ คำมั้ง? ทั้งนี้จะได้รีบกลับวัดแล้วไปต่อเพชรบุรี เพื่อถวายฎีกานิมนต์หลวงพ่อพระพรหมวชิรสุนทร วัดสนามพราหมณ์ ด้วยให้ท่านเมตตามาร่วมฝังลูกนิมิตบริวาร ๒,๐๐๐ ลูก ในวันที่ ๑๗ ก.พ. ศกนี้ ทั้งนี้เราได้วางแผนให้กลับมาราชบุรีทันพิธีสวดอภิธรรมศพอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าโขลงเวลาบ่ายสองโมง ที่เจ้าคณะภาคเป็นเจ้าภาพ
ตอนเช้ากลับมาถึงวัดเห็นกลุ่มโยมเหมือนจะคอยเราอยู่ ๒ กลุ่ม ใจก็คิดเอาแล้วต้องเร่งเวลาปรับเวลาอีกแล้ว ก็ใช่จริง ๆ โยมคอยเราอยู่ที่จะถวายสังฆทานอุทิศให้กับญาติผู้วายชนม์ เราเรียกพระมา ๕ รูปที่กำลังจะล้างบาตร ให้มารับสังฆทาน เสร็จอย่างด่วนแล้วเราก็เผ่นไปเพชรบุรีเลย
ไปถึงวัดสนามพราหมณ์เพชรบุรีเอาเกือบเที่ยง หลวงพ่อพระพรหมท่านกำลังฉันเพลอยู่ เราจึงต้องคอยก่อนตามมารยาท
ท่านฉันเสร็จได้เข้าไปกราบท่าน และถวายฎีกานิมนต์ท่าน แลดูท่านอ่อนล้ามาก ท่านบอกว่าท่านป่วยกำลังรักษาตัวอยู่ ไม่รู้ว่าจะมางานเราได้หรือเปล่า? เราก็กราบเรียนท่านไปว่าไม่เป็นไรครับ ผมเพียงอยากให้หลวงพ่อไปเป็นกำลังใจให้ผม และจะได้ไปดูความคืบหน้าของพระมหาเจดีย์ด้วย เราอยู่สนทนาเป็นเพื่อนหลวงพ่อเพราะอยู่รูปเดียวเหงา ๆ ได้สักพัก ก็รีบลากลับราชบุรีด่วนต่อไป
ย้อนกลับมาถึงราชบุรีก็บ่ายโมงครึ่งเข้าไปแล้ว จะไปหาพระพรหมมงคลวัชราจารย์ พระอนุชาในสมเด็จพระสังฆราชเพื่อถวายฎีกานิมนต์ให้มาเป็นประธานฝังลูกนิมิตบริวาร ก็กลัวจะไม่ทันพิธีบ่ายสองโมง อีกอย่างวัดท่าโขลงอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าอยู่ในอำเภอเมืองราชบุรีเท่านั้น ที่สุดเลยใช้บริการคุณนายสิริ พาไปถึงวัดท่าโขลงก่อนเวลาบ่ายสองโมงนิดหน่อย ค่อยหายใจหายคอโล่งอกไปได้
ท่านเจ้าคณะภาคมาถึงพิธีบ่ายสองโมงครึ่งพอดี พิธีก็เริ่ม ใกล้เวลาสี่โมงเย็นพระราชทานเพลิงศพ หลวงพ่อพระพรหมพระอนุชาในสมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นประธานจุดศพก็มาถึงงานพิธี เราเห็นองค์ท่านมาแล้วก็คิดใจว่า โชคดีจังสวรรค์โปรดไม่ต้องไปถวายฎีกานิมนต์ที่วัดท่าน จะถวายองค์ท่านที่งานนี้เลย
ท่านเจ้าคณะภาคเมื่อวางดอกไม้จันทน์แล้วก็ลงมาจากศาลาที่ตั้งศพ เราคอยอยู่แล้วจึงกราบเรียนถามท่านว่า ที่ผมได้นิมนต์ไว้ ผมนำฎีกานิมนต์มาด้วย ถวายตรงนี้จะสมควรหรือไม่ครับ? ท่านเจ้าคณะภาคก็ถามหาฎีกาเลย เราเตี๊ยมกับหลานชายอยู่แล้ว หลานชายส่งพานรองซองฎีกานิมนต์เรียบร้อยมาให้ เราก็ถวายท่านไป ท่านรับแล้วก็รีบเดินไปขึ้นรถกลับกรุงเทพทันทีด้วยรอยยิ้มเมตตา
ทีนี้เหลือแต่พระอนุชาฯ องค์ท่านยังไม่กลับและกำลังนั่งรับแขกอยู่ เราเข้าไปกราบและรายงานว่า “ผมนำฎีกามาที่นิมนต์ไว้มาถวายหลวงพ่อแล้วครับ” หลวงพ่อพูดแบบน่ารักสุด ๆ ว่า “โทรมาก็รู้เรื่องแล้วววว” เราก็ตอบองค์ท่านไปว่า “ผมทำใจไม่ได้ครับ” แล้วองค์ท่านก็รับซองฎีกาไป เราก็รีบกราบลาองค์ท่านกลับทันทีเลย ที่ต้องรีบต่อเพราะเรายังต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีก ๒ ช.ม.กว่าจะถึงวัด
พอเดินทางกลับวัดมาถึง รพ.มะการักษ์ อ.ท่ามะกา เลยถือโอกาสเยี่ยมญาติธรรมชาวตลาดเขตที่ป่วยหนักแต่อาการดีคืนมาแล้วนอนรักษาตัวอยู่ที่รพ.นี้ เราได้พูดคุยให้กำลังใจและ พูดว่า “นี่เป็นหนังตัวอย่าง รู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าเราจะต้องพบเรื่องจริงต่อไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง หนังตัวอย่างเราสอบผ่านที่นึกถึงแต่บุญ นึกถึงแต่พระครูบาอาจารย์ นั่นแหละเวลาของจริงมา ถึงให้นึกอย่างนี้ เพราะนึกจนชำนาญแล้ว”
กลับมาถึงวัดหกโมงครึ่งโพล้เพล้ใกล้มืด ทีมพระที่ทำงานทาสีศาลาหอฉันกำลังจะเลิกงานพอดี ท่านรายงานว่าได้ทำอะไรบ้างวันนี้และจะทำอะไรต่อไป เราก็รับทราบด้วยความเบาใจ ไม่ต้องแบกโลกทั้งใบไว้อีกแล้ว
สรุปว่าเมื่อวานทั้งวันวิ่งเป็นด.ญ.วัลลีผู้กตัญญูเลย ด.ญ.วัลลี วิ่งจาก รร.ไปดูแม่ตอนพักกลางวันซึ่งป่วยหนักอยู่ที่บ้านไปกลับวันละหลายกิโล แต่เราหนักกว่ามาก วันเดียวเราวิ่งเป็น๑๐๐ กิโล เจอทั้งการเกิดคือบ้านสร้างใหม่ เจอทั้งคนแก่คือหลวงพ่อทั้งสองอายุเกิน ๙๐ แล้ว ไปร่วมงานและเผาศพพระที่มรณภาพ จบที่ไปเยี่ยมคนป่วย เรียกว่าครบเกิดแก่เจ็บตายพร้อมกันในวันเดียวเลย
ก็มีเท่านี้เองคนเรา มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย แล้วจะเอาอะไรกันนักหนา ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาป แล้วพวกเราที่เป็นกัลยาณชนคนสัมมาทิฐิ เป็นนักปราชญ์บัณฑิต ยังจะเลือกคิดเลือกพูดเลือกทำไปในทางชั่วอยู่อีกหรือ?
วัดพระธาตุโพธิ์ทอง
๑๐ ม.ค.๖๗