พระบวชใหม่
และแล้วผ้าขาวที่เรียกกันทางภาคอีสานหรือนาคที่เรียกกันทางภาคกลางที่พร้อมบวช ได้บวชไปเมื่อวาน ๒ นาค ส่วนอีกนาคหนึ่งนั้น ทางพระที่เป็นน้าชายขอให้ดองไว้ก่อน อันนี้น่าจะมาจาก ท่านอยากให้ทิ้งนิสัยเดิม ๆ ที่เป็นฆราวาสให้มากกว่านี้ เพราะเวลาบวชแล้วจะ ได้พัฒนาจิตใจได้ดีและไปได้ไกลนั่นเอง อันนี้เราก็ไม่ขัดข้อง เพราะท่านเป็นน้าหลานกัน ท่านย่อมรู้นิสัยกันดี
เมื่อวานเห็นรอยยิ้มปริ่มสุขของคนเป็นแม่นาคแล้ว ก็อดคิดถึงโยมแม่ที่จากไปไม่ได้ เราเคยลาราชการบวชครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๒ โยมแม่มีความสุขมาก เรายังจำภาพนั้นได้อยู่ แต่การบวชครั้งที่ ๒ จนถึงปัจจุบันนี้ โยมแม่ไม่อยู่แล้ว ถ้าท่านรู้ด้วยญาณวิถีใด ๆ ว่าลูกชายของท่านบวชเป็นครั้งที่ ๒ และได้สร้างพระมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่สวยงามอยู่นี้ คิดว่าโยมแม่คงยินดีปรีดาเป็นสุขมากกว่าการบวชครั้งแรกของลูกชายของท่านหลายเท่านัก
เมื่อคืนหลังจากสวดมนต์จบ เราก็ให้พระใหม่ทั้ง ๒ มาขอนิสัย เพราะตามพระวินัยบัญญัติ พระบวชใหม่ผู้มีพรรษายังไม่ถึง ๕ พรรษา ท่านให้ถือว่ายังผู้ใหม่ปกครองตัวเองไม่ได้ จำต้องขอนิสัยหรืออยู่ในปกครองของพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้ตน หรือของอาจารย์ที่ตนไปขออยู่ด้วย นี่เป็นข้อบังคับและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่สายครูบาอาจารย์ท่านพาปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัด
หลังจากนั้นก็ได้เวลาปฏิบัติธรรมภาวนาทำสมาธิกัน เราได้เทศน์ว่า “ผู้บวชเมื่อได้บวชแล้ว ก็ต้องศึกษาและทำหน้าที่ของนักบวช ส่วนฆราวาสญาติโยมก็ทำหน้าที่ของตนไป นักบวชก็ทำหน้าที่ละชั่ว ประพฤติดี และทำจิตของตนให้ผ่องใส แม้ฆราวาสญาติโยมผู้เป็นนักปฏิบัติ ก็ต้องทำเช่นเดียวกับนักบวช เพื่อการพ้นทุกข์ของตัวเองเช่นกัน”
เราได้เทศน์ต่อไปว่า “ชีวิตที่เลือกแล้วว่าจะอยู่ตรงไหน ก็ให้มีความสุขอยู่ที่ตรงนั้น จะเป็นนักบวชก็ให้บวชอยู่อย่างมีความสุข เดินยืนนั่งนอนก็ให้เป็นสุข ส่วนทุกข์นั้น นักบวชไม่ใช่จะไม่มีทุกข์กับเขา มีเหมือนกันกับชาวบ้านนั่นแหละ แต่ฝึกให้รู้เท่าทันทุกข์ที่เกิดขึ้น และอย่าไปแบกทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น ให้ฉลาดรู้เท่าทันและปล่อยวางมันไป”
“ส่วนนักปฏิบัติก็ให้ทำเช่นเดียวกับนักบวช เพราะเราทุกคนที่ปฏิบัติอยู่นี้ ก็มีสิทธิ์บรรลุธรรมได้เท่ากันกับนักบวช เพราะมีแขน ๑ ขา ๒ แขน ๒ เหมือนกันกับนักบวชเช่นกันนั่นเอง ทั้งนี้อยู่ที่ใครจะมีความเพียรและสติปัญญามากกว่ากันเท่านั้นเอง ให้ปฏิบัติแข่งกันนะ ระหว่างนักบวชกับฆราวาสญาติโยม แข่งเพื่อชนะทั้งคู่ ไม่ใช่แข่งเพื่อดีเด่นกว่ากัน”
เมื่อเลิกประชุมแล้ว นอกจากแม่พระใหม่และพี่สาวพระใหม่ ๒ แม่ลูกที่ขอค้างวัดแล้ว ยังเห็นแม่ลูกอีกคู่หนึ่งมาขอค้างวัดและมาสวดมนต์ภาวนาด้วย เราจึงได้ทักและให้กำลังใจไป รวมทั้งอนุโมทนาไปด้วย
เราเดินกลับกุฏิมองเห็นพระมหาเจดีย์สลัว ๆ ท่ามกลางความมืดก็คิดไป พระมหาเจดีย์เมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วก็คงสภาพอยู่ต่อไป ส่วนตัวเราเองและสาธุชนทุกคนที่มาร่วมสร้างพระมหาเจดีย์กับเรา ก็คงทยอยจากโลกนี้ไปทีละคนสองคน แม้พระมหาเจดีย์เองก็คงหมดอายุพังทลายลงในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้าดุจเดียวกัน จะต่างกันก็แค่ความยืนยาวนานที่แตกต่างกันแห่งอายุสังขารของแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นเอง นี่แหละของจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรมชาติอันนี้ “สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปในที่สุด”…แล้วเราจะมัวมาหลงโลกสมมุตินี้อยู่ทำไม!?
วัดพระธาตุโพธิ์ทอง
๑๓ ม.ค.๖๗